วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เทศนางานศพในวันที่ 25 ธันวามคม 2553 (ปลายปีแล้วคับ)

ยํกิญฺจิ สมุทย ธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธะมฺมนฺติ



อันผลไม้ น้อยใหญ่ ทุกประเภท

 
มันบอกเหตุ ให้เห็น เป็นตัวอย่าง


ทั้งผลอ่อน ผลแก่ มิเว้นวาง


สุกหล่นบ้าง เหี่ยวหล่นบ้าง ตามทางมัน


ทุกชีวิต ก็เป็น เช่นผลไม้


ย่อมมีตาย ทั้งอ่อนแก่ มิแปรผัน


เมื่อรู้แล้ว จะลุ่มหลง ทำไมกัน


ตั้งใจมั่น รีบหาทาง สร้างความดี


ขอเจริญพร ญาติโยมสาธุชนพุทธบริษัททุกท่าน ณ โอกาสต่อจากนี้ไปพอประมาณ ญาติโยมสาธุชนจะได้รับฟังธรรมสังเวช ปรารภเหตุของการวายชน เนื่องจากว่าในวันนี้ท่านเจ้าภาพ พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนทุกท่านได้มาร่วมกันฌาปนกิจเพื่ออุทิศคุณงามความดีอันนี้ส่งไปให้แก่ (ผู้วายชน) การจากไปของผู้วายชนในครั้งนี้ก็ย่อมสร้างความเศร้าโศกเสียใจแก่ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เพราะการจากไปของท่านในครั้งนี้เป็นการจากไปแบบไม่มีวันที่จะหวนกลับ


ท่านว่าคนเราเกิดมาย่อมหนีความแก่ไม่ได้ หนีความเจ็บไข้ไม่พ้น ทุกคนเกิดมาในโลกนี้ต้องพบกับความตาย แต่อย่างไรก็ดีเมื่อพูดถึงความตายแล้ว ท่านได้แบ่งความตายไว้หลายประเภทแต่ที่สำคัญมี 2 ประเภทนั่นก็คือ ตายใน ตายนอก


ตายใน เป็นการตายของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะคำว่าตายใน ณ ที่นี้ ก็คือตายจากกิเลส จิตใจของท่านตายจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ตัณหาและอวิชชาทั้งหลายไม่ยึดติดต่อสิ่งใด ๆในโลกนี้


ตายนอก เป็นการตายแบบเรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายที่เป็นมนุษย์ปุถุชน บางคนก็ตายตามอายุไข คือแก่ชราตายบ้าง บางคนก็ป่วยตายบ้าง บ้างก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตบ้าง


ดังนั้นเราจะอยู่ที่ใด จะอยู่ในฐานะไหน ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เกิดมาในโลกนี้แล้วย่อมหนีไม่พ้นเงื้อมมือของพญามัจจุราชไปได้


มัจจุราช นายเรา เอาไปแน่


เว้นเสียแต่ เร็วช้า อย่าสงสัย


คืนและวัน ผันดับ ล่วงลับไป


เราก็ใกล้ ป่าช้า มาทุกวัน


เพราะความตาย ไม่มีใคร หนีพ้นได้


แต่ควรให้ อายุไข นั้นมาถึง


ตายไม่ถึง เวลา น่าคะนึง


ควรขอพึ่ง คุณพระ มาคุ้มครอง


ดังนั้นวันนี้ เรามางานศพ เราได้มาพิจารณาความเป็นจริงของชีวิต ได้มาเห็นความไม่เที่ยงแท้แล้วหรือยัง หรือว่ามาเฉย ๆ มาตามพิธี มาตามประเพณีแค่นั้น


เพราะถ้าเป็นสมัยก่อนคนเฒ่าคนแก่ ถ้ามางานศพที่วัด ถามเค้าว่ามาทำไมเค้าจะตอบว่ามาเผาผี เผาผีในที่นี้ไม่ใช่ เผาศพคนตายหรอก แต่เป็นปริศนาธรรมที่เค้าพูดขึ้นมา แต่ส่วนมากจะไม่รู้ความหมาย


คำว่าเผาผี ผีในที่นี้ก็คือ ผีในตัวเรา ซึ่งก็มี


ผีหนึ่งชอบดื่มสุราเป็นอาจิณ ไม่ชอบกินข้าวปลาเป็นอาหาร


ผีสองชอบท่องเที่ยวยามวิกาล ไม่รักลูกรักบ้านของตน


ผีสามชอบเที่ยวดูการเล่น ไม่เว้นบาร์คลับละครโขน


ผีสี่ชอบคบคนชั่วมั่วกับโจร หนีไม่พ้นอาญาตราแผ่นดิน


ผีห้าชอบเล่นไพ่เล่นม้ากีฬาบัตร สาระพัดถั่วโปไฮโลสิ้น


ผีหกชอบเกียจคร้านการหากิน มีทั้งสิ้นหกผีอัปรีย์เอย


ดังนั้นเรามาเผาศพทั้งทีควรเผาผีเสียบ้าง ที่สำคัญควรทำใจให้ปล่อยวาง คิดเสียบ้างว่าทุกอย่างมันไม่เป็นดั่งใจ เมื่อทำได้เช่นนี้ใจก็สบาย กายก็สบาย และเมื่อตายก็ได้ไปสู่สวรรค์อย่างไม่น่าสงสัย อย่าปล่อยวันเวลาให้ล่วงเลยไป อย่าช้าอยู่ใยให้รีบสร้างความดี



วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันนี้ฝนตกหนักมาก อากาศก็หนาวด้วยคับ มองไปที่ไหนก็ดูเหงา ๆ แย่จัง..... เหลือบดูปฏิทินก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว ยังไม่ลงมือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยโธ่...ชีวิต

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มงคลชีวิต 9 ประการ

มงคลชีวิต 9 ประการ


1.ซื่อตรง
ข้อนี้สำคัญมาก บุคคลใด หรือฝ่ายใดก็ตาม ถ้าขาดความซื่อตรงเสียแล้ว ก็จะเกิดความเสื่อมโทรมเสียหาย เกิดเรื่องเดือดร้อน เกิดความไม่สงบ เกิดความระแวงไม่ไว้วางใจ ขาดความเชื่อถือ ขาดความนิยม เกิดความโกรธเคือง อาฆาตแค้น เกิดความเกลียดชัง ดูถูกดูหมิ่นกัน กฏธรรมชาติ มีอยู่ว่า...
"บุคคลใดซื่อตรงเป็นบุคคลที่น่าคบค้าสมาคม มีเสน่ห์ใครๆ ก็ชอบคบค้าสมาคมกับคนซื่อตรง ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน ถ้าเรามีนักการเมืองคดในข้อ งอในกระดูก โกงในสันดาน บ้านเมืองของเราก็มีแต่พังกับพังเท่านั้น เพราะฉะนั้น ขอให้ถือความซื่อตรงเป็นหลัก ปฏิบัติที่สำคัญที่สุดของชีวิต


2. **สะอาด**
ข้อนี้สำคัญมากอีกข้อหนึ่ง เพราะความสะอาดทำให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เชื้อโรคเกิดจากความสกปรก เมื่อเรามีความสะอาดเชื้อโรค ก็เกิดขึ้นไม่ได้ เราก็มีความสุขทั้งร่างกายและจิตใจ บ้านเรือนที่สะอาด ก็เป็นบ้านเรือนที่น่าอยู่อาศัย
ใครๆก็ชอบบ้านเรือนที่สะอาด เสื้อผ้าที่สะอาด ก็เป็นเสื้อผ้าที่น่าสวมใส่ น่าดู น่าชม ใครๆก็ชื่นชม ใครๆก็ชอบใช้เสื้อผ้าที่สะอาด
บุคคลใดเป็นคนสะอาด ก็เป็นคนที่น่าคบค้าสมาคม เพราะใครๆก็ชอบคบค้าสมาคมกับคนสะอาด ยิ่งกว่านั้นความสะอาดยังส่อแสดงให้เห็นถึงชีวิตจิตใจ การศึกษาและบุคลิกภาพ โบราณท่านสอนว่า ดูวัดให้ดูฐาน(ส้วม) ดูบ้านให้ดูครัว วัดใดส้วมสะอาด แสดงว่าวัดนั้นพระขยัน วัดใดส้วมสกปรก แสดงว่าวัดนั้นพระขี้เกียจ
บ้านใดครัวสะอาด แสดงว่าแม่ครัว หรือลูกสาวบ้านนั้นขยัน บ้านใดครัวสกปรก แสดงว่าแม่บ้านหรือลูกสาวบ้านนั้น ขี้เกียจ เพราะฉะนั้น ขอให้ถือความสะอาดเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญที่สุดของชีวิต


3. ขยัน

ข้อนี้ก็สำคัญอีกข้อหนึ่ง เพราะความขยันเป็นเครื่องผลักดันชีวิต ให้เจริญก้าวหน้าไปสู่ความมั่นคั่ง บรรดาบุคคล สำคัญของโลกได้ประสบความรุ่งโรจน์ เพราะอาศัย ความขยัน เป็นเครื่องช่วยผลักดันชีวิตคือ..
ขยันศึกษา คือ ศึกษาเล่าเรียน ให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะมีโอกาสศึกษาได้ตามฐานะ และกำลังทรัพย์ ในยุคโลกาวิวัฒน์นี้ เรารียกว่า ศึกษาตลอดชีวิตจนถึง วาระสุดท้าย คือ ความตาย
ขยันคิด คือ คิดให้ดีที่สุด คือ หาทางก้าวหน้าอยู่เสมอ คิดสร้างสรรค์คิดพัฒนา พลิกแพลงให้ดีขึ้น และคิดแก้ไข ปรับปรุงตนเองว่า มีจุดดี หรือเลวอย่างใดบ้าง
ขยันพูด โปราณสอนว่า พูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมากปากจะมีสี ข้อนี้คือ พูดให้ดีที่สุด พูดให้ถูกกาละเทศะ พูดให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ทางพระท่านเรียกว่า ปิยะวาจา หรือมธุรสวาจา
ขยันทำ คือ ทำให้ดีที่สุดจนความสามารถ เวลาเป็นเงินเป็นทอง จงทำเวลาทุกนาที ทุกชั่วโมง และทุกๆวันให้เป็นประโยชน์มากที่สุด
ขยันหา คือ หาความรู หาความชำนาญ หาความดี ความชอบทางก้าวหน้า หาทรัพย์สินเงินทอง หาหลักฐาน หามิตรสหาย หาพระสงฆ์องค์เจ้า ทางสุจริต หาความเจริญก้าวหน้า เป็นต้น
อย่า..หายใจทิ้งไปวันๆ ทางพระตำหนิว่าเป็น..โมฆะบุรุษ บางครั้งท่านให้ศัพท์ค่อนข้างรุนแรงว่า..**เสียชาติเกิด**หรือ**รกโลก** เพราะฉะนั้น ขอให้ถือความขยัน เป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญที่สุดของชีวิต


4. ใช้จ่ายให้พอสมควรแก่ฐานะ
ข้อนี้สำคัญมากอีกข้อหนึ่ง ถ้าเราใช้จ่ายเพื่อประหยัด จะมั่งมีเพราะประหยัด จะอัตคัตเพราะฟุ่มเฟือย รูรั่วนิดเดียวยังทำให้เรือใหญ่จมได้ จงอดกลั้น อดทน อดออม แล้วจะไม่อดตาย
คนรวยเพราะทำตัวจนพอประมาณ คนขัดสนเพราะทำตนร่ำรวย จงกินแต่พออิ่ม ชิมแต่พอดี เป็นหนี้แต่พอประมาณ อย่าเอาโรงแรมเป็นบ้าน อย่าเอาภัตตาคารเป็นครัว
อย่ากินเกิน อย่าใช้เกิน อย่าเกินพิกัด เกินอัตรา เกินกำลัง เกินความจำเป็น รู้จักแก้จนด้วยการทำตัวต่ำ รู้จักลดขนาดความต้องการลง เพื่อความอยู่รอดของครอบครัว สังคมและประเทศชาติ


5. งดเว้นสิ่งให้โทษ คือ

สุราเมรัย เครื่องดองของเมา (ยกเว้นกินกับยา)
ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน กัญชา ยาบ้า ยาอี เป็นต้น
การพนันขันต่อต่างๆ
แหล่งอบายมุข ตลอดจนสถานเริงรมย์ ที่ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นดีที่สุด
ถ้าเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งให้โทษ ก็จะพาชีวิตของเราเสื่อมโทรม เสียหายพินาศเดือดร้อน ไม่เจริญก้าวหน้า เดินไปสู่ความตาย สู่ประตูคุกตารางเข้าไปทุกที เพราะฉะนั้น ขอให้ถือการงดเว้นสิ่งให้โทษ เป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญที่สุดของชีวิต


6. ไม่ล่วงเกินผู้อื่นก่อน
ข้อนี้สำคัญมากอีกข้อหนึ่ง เพราะเรื่องราวเดือดร้อนต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น ทะเลาะวิวาทกัน ตีกัน ทำร้ายกัน เข่นฆ่ากันนั้น เนื่องมาจากการล่วงเกินกันเป็นมูลเหตุ ถ้าต่างฝ่ายไม่ล่วงเกินกัน หัด..ยอม..เป็น ให้อภัยเสียบ้าง คิดเสียว่า โลกทั้งผองพี่น้องกัน รู้รักสามัคคี สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวร และเบียดเบียนซึ่งกัน และกันเลย โกรธ คือ โง่ โมโห คือ บ้า อิจฉาริษยาเขา คือ จุดไฟเผาตัวเอง อายุก็สั้นและตายเร็วด้วย
เพราะฉะนั้นขอให้ถือ การไม่ล่วงเกินผู้อื่น เป็นหลักปฏิบัติ ที่สำคัญที่สุดของชีวิต

7. งดติดต่อคบค้า สมาคมคนไม่ดี

ข้อนี้ก็สำคัญมากอีกข้อหนึ่ง เพราะการติดต่อกับคนไม่ดี เป็นบันไดแรก นำไปสู่เรื่องราวเดือดร้อนวุ่นวาย ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น เนื่องมาจากการติดต่อเป็น ถ้าเราติดต่อกับคนไม่ดี ก็จะมีแต่เรื่องยุ่งผิดหวัง เดือดร้อน เสียหาย เสื่อมโทรม พินาศ ขาดทุน อาจจะถึงแก่ชีวิต ก็เป็นได้ รวมความว่า...** การติดต่อคนไม่ดี ** มีแต่ความเดือดร้อน เสียหาย ขาดทุน ไร้ประโยชน์ เสียเวลาด้วยประการทั้งปวง
ข้อสังเกตว่า คนใดจะดีหรือไม่ดีนั้น มีดังนี้คือ..
คนดี ย่อมแสดงออก ซึ่งความดี
คนชั่ว ย่อมแสดงออก ซึ่งความชั่ว
คนซื่อ ย่อมแสดงออก ซึ่งความซื่อ
คนคด ย่อมแสดงออก ซึ่งความคด
คนเลวทราม ย่อมแสดงออก ซึ่งความเลวทราม
หรือ ดูคนดี แบบ 4 ดี คือ คิดดี ทำดี พุดดี คบคนดี และไปสู่สถานที่ดี
ส่วนคนชั่ว คิดแต่ชั่วๆ ทำเรื่องชั่วๆ และพูดแต่ชั่วๆ คบแต่คนชั่วๆ และชอบไปสู่สถานที่ชั่วๆ เป็นต้น
คนไม่ดี มีนิสัย ดังนี้เช่น..
1. ไม่ซื่อตรง (คิดคดเสมอ)
2. ไม่รักษาคำพูด(ที่ตกลงกันไว้)
3. โกหก(ให้เสียหายเดือดร้อน)
4. ปลิ้นปล้อน ตะลบตะแลง ประเภท 18 มงกุฏ
5. ยักยอก ฉ้อโกง เบียดบัง เอาเปรียบ
6. ทรยศหักหลัง กินบนเรือน ถ่ายบนหลังคา เป็นต้น
7. ไม่ทำตามเงื่อนไขสัญญา
8. ใช้เล่ห์เหลี่ยม แกล้งทำให้เดือดร้อน เสียหาย
9. กลับกลอก หลอกลวง ให้เสียหาย เดือดร้อน
10. ขาดความเกรงใจ ไร้มารยาท บีบคั้นเอาเปรียบ
เชื้อโรคเกิดจากความ..สกปรก..ฉันใด ความเสียหาย เดือดร้อน ก็เกิดจากคนไม่ดี ฉันนั้น
โบราณท่านสอนว่า หลีกสัตว์ร้ายให้พ้นวา หลีกคนชั่วช้า ให้ย้ายบ้านเรือนหนี เพราะฉะนั้น ขอให้ถือหลักปฏิบัติ งดการติดต่อกับคนไม่ดี เป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญที่สุดของชีวิต


8. กตัญญู กตเวที

คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง ผู้มีพระคุณแก่เรา สรุปโดยย่อ มี 5 ประการ เรียงลำดับสูงได้ดังนี้
1. พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผู้แนะนำสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในความดี และประพฤติตนเป็นตัวอย่าง หรือเป็นที่พึ่งสูงสุด
2. ชาติ กษัตริย์และรัฐธรรมนูญ ผู้ให้สิทธิคุ้มครอง ความยุติธรรม ความมีหลักฐาน ถิ่นที่อยู่อาศัย
3. บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ผู้ให้กำเนิดเลี้ยงดู รักษาให้ความสุข ความเจริญ และหลักฐานของชีวิต
4. ครูบาอาจารย์ ผู้สั่งสอนศิลปวิทยาการ ทั้งหลายให้ความเจริญ รุ่งเรือง และป้องกันในทิศทั้งหลาย
5. ญาติ พี่น้อง มิตรสหาย เจ้านายผู้บังคับบัญชาเหนือตน ผู้ให้ความอุปการะ หรือเลี้ยงดู สนับสนุน ส่งเสริมเราให้เจริญรุ่งเรือง
ผู้มีพระคุณ ทั้ง 5 ประการ ที่กล่าวมานี้ บุคคลผู้เจริญแล้วทั้งหลาย ต้องรู้จักบุญคุณและหาทางสนองตอบคุณ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ อย่าให้ใครมาตำหนิท่านว่าเป็นคนเนรคุณ หรือลูกทรพี
ความกตัญญู กตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี ที่โลกต้องการบุคคลประเภทนี้ นักปราชญ์ทั้งหลาย กล่าวสรรเสริญยกย่องว่า ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เทวดาฟ้าดินย่อมคุ้มครอง รักษาเสมอ เพราะฉะนั้น ขอให้ถือเรื่องความกตัญญู กตเวที เป็นหลักที่สำคัญของชีวิต


9. รู้จักหน้าที่ และทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด

คนเรามีหน้าที่ แตกต่างกันตาม เพศ วัย และการงาน ใครจะอยู่ในหน้าที่ก็ตาม ก็ต้องทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เต็มศักยภาพความรู้ ความสามารถ โดยไม่มุ่งผลตอบแทน จนเกินไป ให้ทำหน้าที่ด้วยความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เป็นเกมกีฬาอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า.. งาน
งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน บันดาลสุข ทำงานให้สนุก เป็นสุข ขณะทำงาน
แต่คนส่วนมากมีแต่ความ..อยาก อยากได้ แต่ไม่ทำ อยากรวย อยากสบาย แต่ไม่อยาก..ทำ อยากได้ดี แต่ไม่ยอมสะสมความดี เป็นต้น
จากข้อสังเกตของข้าพเจ้าเป็นเวลายาวนาน คนที่เสียชื่อเสียง เสียผู้เสียคน เสียอนาคต ถูกลงโทษ ถูกลงทัณฑ์ ถูกปลด ถูกไล่ออก ถูกย้าย ถูกถอดถอนจากยศ ตำแหน่งหน้าที่การงาน ติดคุกติดตาราง ตัวเองและครอบครัวเดือดร้อน ก็เพราะไม่รู้จักหน้าที่ ไม่ทำตามหน้าที่ ดูถูกหน้าที่ ละทิ้งหน้าที่ ของตนเองแทบทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ขอให้ถือการ..รู้จักหน้าที่ และทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญที่สุดของชีวิต
ท่านผู้ใดปฏิบัติได้ครบทั้ง 9 ประการ รับรองว่า ชีวิตมีแต่ความสุข ความเจริญ อยู่ที่ไหนใครก็รัก จากไปก็เสียดาย ตายไปก็มี คนร้องไห้คิดถึง


เขียนโดย :อมิตพุทธ   
อ้างอิงจาก http://www.firodosia.com/showdetail.asp?boardid=1314

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

.. เหตุผลที่เราควรรักแม่ มากกว่าแฟน ..


แม่. . . ไม่เคยหลอกให้เราหลงรัก  เพราะเราเต็มใจรักแม่ โดยไม่ต้องหลง...
แม่. . . อาจเคยตีเราให้เจ็บ แต่ไม่เคยทำให้เราเจ็บหัวใจ
แม่. . . ส่งเสียเรา แต่เราต้องส่งเสียแฟน ...
แม่. . . ไม่เคยบอกเลิก
แม่. . . เป็นแบงค์ส่วนตัวที่เวลากู้ไม่เคยคิดดอกเบี้ย และไม่ค่อยทวงคืน ...
แม่. . . เห็นเราเดินแก้ผ้าตั้งแต่เล็ก โดยไม่เคยติเรื่องรูปร่าง
แม่. . . เป็นคนที่เห็นเราดีกว่า แฟนของแม่เสมอ ขอหอมแม่ไม่ยากเท่าขอหอมแฟน ...
แม่. . . ยอมตัดสะดือตัวเองเพื่อให้เราเกิดมา
แม่. . . สอนให้เราพูดได้ เพื่อจะไปบอกรักแฟนตอนโต
แม่. . . ยอมเป็นยายอ้วนลงพุงตั้ง 9 เดือน เพื่อให้เราอาศัยอยู่ข้างใน ...
และในประเทศนี้ไม่มี . . . “วันแฟนแห่งชาติ” เหมือนวันแม่ใช่มั้ย ...
รู้ว่าความรักของแม่ ยิ่งใหญ่กว่าแฟนแล้ว. . .
พรุ่งนี้!! คุณอยากบอกแม่ว่าอะไรดี. . .? ...


อย่ารอโอกาส หรือรอเวลาบอกรักแม่เฉพาะ “วันแม่” เท่านั้น


. . .เพราะวันเวลาอาจทำให้คุณ . . . ไม่มีโอกาสบอกรักแม่ก็เป็นได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก....http://www.dhammajak.net/dhamma/78.html
อย่างน้อยสิ่งดี ๆ ก็มีอีกเยอะ

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หลวงพ่อพุทธทาส


เทศน์งานศพ เดือนไหนจำไม่ได้

ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํติ



สรรพสิ่ง มวลสาร บนฐานโลก


ล้วนต้องตก ในวงจร ดังกลอนไข


มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป


นอกนี้ไซร้ โปรดจำไว้ ว่าไม่มี


เพราะโลกสมมุติ ย่อมแตกต่าง ทางฐานะ


แต่ทางพระ ว่าเสมอ เหมือนกันหมด


แม้ว่าใคร มีสักดิ์ใหญ่ และเรืองยศ


มัจจุบด แตกสลาย ตายเหมือนกัน


เพราะมนุษย์ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ไม่สามารถที่จะหนีจาก ความแก่ ความเจ็บและความตายได้ ทุกคนเกิดมาย่อมที่จะพบกับความพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นพระพุทธองค์ทางจึงสอนให้เรา อย่ากลัวตาย ให้พวกเราพึงระลึกเสมอว่าความตายอยู่กับเราทุกเมื่อ จะไปที่ไหนจะทำอะไร มันก็อยู่มันก็ทำกับเราด้วยเปรียบเสมือนเงา ดังคำผญาโบราณอีสานที่เขากล่าวไว้ว่า


“อันว่าความตายนี้มันแขวนคอทุกบาดย่าง มันหากแขวนอ้อนต้อน เสมอด้ามดั่งกัน เพราะว่าความตายนั้น เปรียบดั่งคือเงา เพราะว่าเงามันตาเฮาสู่วันบ่มีเว้น คันเฮาพามันเล่น พามันเต้นแล่น พามันแอ๊ะแอ่นฟ้อน เงานั้นกะแอ่นนำ” ดังนั้นความตายจึงเป็นเหมือนเงาที่ติดตามตัวเราไปตลอด บางครั้งวันนี้เราเห็นกันดี ๆ อยู่ วันพรุ่งนี้คนที่เราเห็นอาจจะสิ้นชีวิตจากเราไปก็ได้เหมือนที่ท่านกล่าวเอาไว้ว่า






เห็นกันอยู่ ตอนเช้า สายตาย


สายอยู่สุขสบาย บ่ายม้วย


บ่าย ยังเลื่อนเริงกาย เย็นดับชีพนา


เย็น เห็นหยอกลูกด้วย ค่ำม้วยอาสันต์


ดังนั้นเราในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไม่ประมาทในกาลเวลา ไม่ประมาทในสังขาร อย่าเป็นว่าวันพรุ่งยังมาไม่ถึง วัยก็ยังไม่แก่ก็ไม่เข้าวัดทำบุญหนุนกุศลให้ชีวิต


แต่อย่างไรก็ดีวันนี้ ลูกหลานถือว่าได้มาทำบุญคือหนุนกุศลให้กับผู้ตายที่เป็นพ่อซึ่งท่านได้จากพวกเราไป เพราะการจากไปของท่านในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าท่านจะจากไปเพียงสังขารร่างกาย แต่คุณงามความดีและความรักของท่านที่ได้สร้างเอาไว้ ยังติดตึงใจลูกทุกคนเสมอ


รักสิ่งใด ไหนเล่า เท่าพ่อรัก


ผูกสมัคร รักมั่น ไม่หวั่นไหว


ห่วงใดเล่า เท่าห่วง ดั่งดวงใจ


ที่พ่อให้ กับลูก อยู่ทุกครา


ยามลูกขื่น พ่อขม ตรมหลายเท่า


ยามลูกเศร้า พ่อโศก วิโยคกว่า


ยามลูกหาย พ่อห่วง คอยดวงตา


ยามลูกมา พ่อลด หมดห่วงใย






นี่ถ้าเป็นลูกชายพ่อแม่จะคอยห่วง ห่วงว่าลูกออกไปข้างนอกจะไปทำอะไรหน่อ ..................ถ้าเป็นลูกสาว................... ฉะนั้นพ่อให้เราได้ทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตของท่านเองท่านก็สามารถที่จะสละได้ เพียงเพื่อหวังอยากให้ลูกมีความสุข หวังอยากให้ลูกเป็นคนดี


ยามแก่ยามเฒ่า ก็หวังให้เฝ้ารับใช้ ยามป่วยยามไข้ก็หวังให้ช่วยรักษา ยามเมื่อสิ้นชีพวายชีวา หวังลูกยาช่วยปิดตาเมื่อสิ้นใจ นี่คือความหวังของคนเป็นพ่อ ดังนั้นเราในฐานะที่เป็นลูกหลานก็ควรที่จะตอบแทนคุณท่าน อย่าปล่อย อย่าทอดทิ้งท่าน ต้องเลี้ยงดูท่าน เหมือนกับตอนที่ท่านเลี้ยงดูเรา เลี้ยงในที่นี้ ต้องเลี้ยงทั้งกาย คือหาสิ่งไหนที่ชอบ อาหารไหนที่อร่อย เสื้อผ้าไหนที่ดี ๆ สถานที่ไหนที่ท่านไม่เคยไปเที่ยวก็พาท่านไป เลี้ยงทางใจก็คือ ตั้งใจฟังคำสั่งสอน เอื้ออาทรในกิจธุร รักษาวงตระกูล หมั่นเพิ่มพูนทรัพย์สิน คอยสดับความประสงค์ แก่เฒ่าลงก็คอยประคับประครอง รักษาความปรองดองสามัคคีในครอบครัวไม่ให้แตกแยก นี่ถือว่าเป็นการเลี้ยงใจให้กับท่านแล้ว

เทศน์งานศพวันที่ 4 ธันวาคม 2553

ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ



ภูเขาสูง ตระหง่าน เงื่อมเทียมเมฆ


เป็นก้อนเอก กลิ้งปิด ทิศทั้งสี่


ไม่มีใคร หลีกได้ ในปฐพี


ทุกชีวี เหลวแหลก แตกกระจาย


ฉันเดียวกัน กับความตาย ฆร่าชีวิต


หนีสุดฤทธิ์ หาพ้นได้ ดังใจหมาย


ทุกชีวิต เมื่อถึงคราว ก็ต้องตาย


เหลือเอาไว้ ดีชั่ว ที่ตัวทำ


ขอเจริญพรญาติโยมสาธุชนพุทธบริษัททุกท่าน ณ โอกาสต่อจากนี้ไปพอประมาณ ญาติโยมก็จะได้รับฟังธรรมสังเวช ปรารภเหตุของการวายชน เนื่องจากว่าในวันนี้ ท่านเจ้าภาพ ลูกหลาน ญาติสนิทมิตรสหายตลอดจนพุทธศาสนิกชนทุกท่านได้มาร่วมกันฌาปณกิจ เพื่ออุทิศคุณงามความดีอันนี้ส่งไปให้แก่ดวงวิญญาณของคุณ.........ที่จากพวกเราไป การจากไปของท่านในครั้งนี้ก็ได้สร้างความเศร้าโศกเสียใจ ทิ้งความอาลัยแก่ลูกหลานผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เพราะการจากไปของคุณแม่ในครั้งนี้ เป็นการจากไปแบบไม่มีกลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น ท่านว่าคนเราทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้หนีไม่พ้นหลักความเป็นจริงอยู่ 3 อย่าง นั้นก็คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


อนิจจัง คือความไม่เที่ยง หมายความว่า คนเราเกิดมาประกอบด้วยธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ รวมกันเป็นสังขาร เมื่อเปลี่ยนแปลงไปตามกาลตามเวลาหรือตามอายุไขสังขารร่างกายของคนเราก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เปลี่ยนแปลงในที่นี้คือ เปลี่ยนจากวัยเด็กไปเป็นวัยหนุ่มสาว เปลี่ยนจากวัยหนุ่มสาวไปเป็นวัยผู้ใหญ่เปลี่ยนจากวัยผู้ใหญ่ไปเป็นวัยชรา ดังมีปริศนาธรรมข้อหนึ่งที่ท่านได้ยกเอาไว้ให้น่าคิดว่า


ที่ดำกลับขาว ที่ยาวกลับสั้น ที่มั่นกลับคลอน ที่หย่อนกลับตึง ที่ซึ้งกลับเซอะ ซึ่งก็อธิบายได้ว่า ที่ดำ กลับขาว หมายถึง เส้นผม ตั้งแต่เด็ก จนถึงวัยหนุ่มสาว เส้นผมก็ดกดำสวยงาม พอผ่านวัยผู้ใหญ่เข้าสู่วัยชรา เส้นผมก็กลับเปลี่ยนไปเป็นขาว บางคนจะใช้สีย้อมผมยี่ห้อดีขนาดไหนมาย้อมมันก็ตาม มันก็คงทนได้แค่ชั่วคราว แต่เมื่อมันหมดฤทธิ์ของยานั้น มันก็กลับมาดังเดิม ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรมันได้


ที่ยาว กลับสั้น หมายถึง สายตา ตอนอยู่ในวัยเด็ก วัยหนุ่มสาว โดยทั่วไป จะมีนัยตาแจ่มใส ที่ไหน มุมไหน ท่าไหน ก็อ่านหนังสือได้ มองดูอะไรก็ได้ เห็นภาพชัดเจนดี พอเข้าสู่วัยชรา สายตากลับพร่ามัว ต้องอาศัยแว่นตาเข้าช่วย


ที่มั่น กลับคลอน หมายถึง ฟัน ตอนอยู่ในวัยเด็ก วัยหนุ่มสาวจะกัด จะเคี้ยวอาหารอะไรก็ได้ ไม่เกรงกลัว กินอาหารได้อร่อย พอเข้าสู่วัยชรา ฟันบางซี่ก็เริ่มโยกดลอน จนหลุดออกทีละซี่ อย่างนี้ก็กินไม่ได้ อย่างโน้นก็กินไม่ลง


ที่หย่อน กลับตึง หมายถึง หู ตอนอยู่ในวัยเด็ก วัยหนุ่มสาว จะฟังเสียงอะไรก็ได้ยิน ไม่ว่าจะอยูใกล้หรือไกล พอเข้าสู่วัยชรา เนื้อหนังก็หย่อนยานไปหมด เว้นแต่หู ยิ่งแก่ยิ่งตึง


ที่ซึ้ง กลับเซอะ หมายถึง ความจำ ตอนอยู่ในวัยเด็ก เรียนรู้อะไรก็จดจำได้เร็วและแม่นยำ พอเข้าสู่วัยชรา ก็หลงๆลืมๆ ความจำเลอะเลือน ได้หน้าลืมหลัง


นี้คือความเป็นจริงของสังขาร ที่มันเป็นอนิจจัง คือไม่เที่ยงไม่แท้เพราะยามหนุ่มยามสาวมันก็สามารถทำอะไรได้ขึงขัง กระฉับกระเฉงแต่เมื่อแก่เฒ่าลงจะทำอะไรมันก็ลำบาก แม้จะลุกจะนั่งก็ยังต้องร้องโอยแล้วโอยอีก เหมือนกับคำกลอนที่ท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า


ยามวัยต้น แข็งแรง ทุกส่วนสัด


ปรากฏชัด ทุกอย่าง ล้วนขึงขัง


ผ่านวัยกลาง ทุกอย่างลด หมดกำลัง


จะลุกนั่ง ไปมา ร้องว่าโอย


ทุกขัง คือความทุกข์ หรือสภาวะที่ทนได้ยาก เหตุที่บอกว่าเป็นสภาวะที่ทนได้ยากก็เพราะว่า เมื่อพูดถึงเรื่องความทุกข์ ไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้ เพราะความทุกข์มันทำให้เราเจ็บปวด ความทุกข์มันทำให้เราเศร้าตรอม แต่ความทุกข์ก็เป็นยาวิเศษที่ทำให้คนเข้มแข็ง เพราะว่าบางคนกว่าจะได้สบาย เค้าเหล่านั้นก็สู้กับความทุกข์ยากมาก่อนทั้งสิ้น ยกตัวอย่างคุณพ่อคุณแม่ของเรา กว่าพวกท่านจะเลี้ยงดูเราเติบใหญ่ให้มีการมีงาน มีครอบมีครัวอยู่อย่างมีความสุขอย่างทุกวันนี้ ท่านก็ต้องทนและสู้กับความทุกข์ยากอุปสรรคต่าง ๆ นานามาทั้งสิ้น โดยเฉพาะคุณแม่แล้ว ท่านถือว่าเป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ ท่านให้เราเกิด ก่อนที่ท่านจะคลอด ท่านก็ต้องทนอุ่มท้อง ยากกินอะไรที่ชอบก็ไม่ได้กิน กลัวว่าจะกระทบลูกในท้องของตน แม้เมื่อท่านคลอดแล้ว ท่านก็ต้องยอมตัดสายสะดือของตัวเองที่ติดกับลูก เพื่อให้ลูกมีชีวิตรอด หลังจากนั้นท่านก็เลี้ยงเรามา โดยที่ท่านเป็นครูคนแรก สอนให้เราเดิน สอนเรียกชื่อท่านและชื่อที่พูดออกมาจากคำพูดที่ไร้เดียงสาของเรานั้นก็คือ “แม่” แม่สอนให้เราได้รู้ทุกอย่าง สอนให้เราสู้ ถึงแม้ว่าบางครั้งลูกจะท้อแท้หมดหวัง ท่านก็ยังให้กำลังใจ ไม่ทอดทิ้งเรา ดังนั้นพระคุณของแม่จึงมากมายมหาศาล แม้แต่ในชาติเราก็ไม่สามารถที่จะทดแทนพระคุณท่านได้ทั้งหมด ดังนั้นสิ่งเราควรจะทำคือรู้จักสำนึก นึกถึงเรื่องที่ท่านเคยเล่า นึกถึงนมน้ำข้าวที่ท่านเคยป้อน นึกถึงที่หลับที่นอนที่ท่านเคยจัดหาให้ แม้แต่เงินทุนทุกบาททุกสตางค์ที่ท่านให้เราโดยไม่คิดหวังผลตอบแทน เพียงแต่ท่านหวังว่าอยากให้ลูกมีความสุข แม้ยามแก่เฒ่า ก็หวังเพียงลูกเจ้าเฝ้ารับใช้ ยามป่วยไข้ ก็หวังเพียงลูกเต้าพาไปรักษา เมื่อถึงคราวตายวายชีวา ก็หวังเพียงลูกยาคอยปิดตายามที่สิ้นใจ นี้คือความหวังของแม่






อนัตตา คือ ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของเรา เราทุกคนทุกท่านเกิดมา เรามาตัวเปล่า ทรัพย์สินเงินทอง บ้านช่องเคหะสถานที่เราหามาได้ เราก็ได้กินได้ใช้ตอนที่เรามีชีวิตอยู่ เมื่อตายก็ได้นอนในแค่โลงสี่เหลี่ยม แม้เงินบาทที่เขาเอาใส่ปาก เราก็ยังไม่สามารถที่จะนำติดตัวไปได้ ดังมีคำกลอนที่ท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า


โลกีย์สมบัติจำต้องขาดกระจาย


เมื่อตัวเราตายจำต้องคืนทุกอย่าง


ลาภยศเงินทองมันเป็นของกลางกลาง


ไม่มีอะไรสักอย่างจะติดกายา


มาเปล่าไปเปล่าเราท่านอย่าเฝ้าอาลัย


เงินทองเอาไปไม่ได้หรอกนะท่านจ๋า


หัดปลงหัดวางเสียในสังขารา


ทรัพย์สินที่เคยค้าก็จำต้องเวียนคืน


เงินบาทสุดท้ายที่เขาเอาใส่ปาก


สัปเหร่อก็ยังควักไม่ยอมให้เรากลืน


โธ่คิดมาแล้วมันน่าขมขื่นเหลือผ้าสองผืนพอติดกายา


แต่พอคนเผลอสัปเหร่อก็เข้ามาแก้


เอาผ้าม่วงผ้าแพรไปเที่ยวเร่ขาย


ต้องแต่งชุดเดียวกันทั้งวันเกิดวันตาย


ต้องมานอนเปลือยกายอยู่บนเชิงตระกอน

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วัดวิเวกธรรมคุณ

วันนี้มีภาพบรรยากาศที่วัดมาฝากให้ดูคับ



ภาพบรรยากาศภายในวัดคับ ถ่ายช่วงค่ำ อากาศเย็น ได้บรรยากาศดีคับ

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แม่

                        เมื่อพูดถึงคำว่าแม่ หลายคนคงจะนึกถึงพระคุณของคุณแม่ พระคุณของแม่นั้นมากมายมหาศาล ถ้าจะให้ลูกทุกคนมาบรรยายถึงพระคุณของท่าน เชื่อได้เลยว่าชานี้ทั้งชาติของเราก็คงที่จะไม่สามารถบรรยายได้หมด แต่พระคุณของท่านเราเห็นได้เด่นชัดที่สุดก็คือ ท่านเป็นผู้ให้ที่ไม่มีใครในโลกนี้เทียบได้
                        แม่เป็นผู้ให้ที่ประเสริฐที่สุด ท่านให้กาย ท่านให้ใจ ที่ว่าให้กายคือ ท่านทนอุ้มท้องเก้าเดือนเพื่อที่ให้เราเกิด ให้อวัยวะทุกอย่าง ให้ขาเราเดิน ให้แขนเราทำงาน ให้ปากเราพูด ให้สมองเราได้คิดแต่สิ่งดี ๆ ที่ว่าให้ใจนั้นคือ ให้การศึกษา ให้คำสั่งสอน ให้ความรักความเมตตา ให้รู้จักรักษาความสามัคคีในครอบครัว
                       การให้ที่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของผู้ที่มีความเป็นแม่คือ ท่านเป็นผู้ให้อภัยที่ไม่ใครเทียบได้ เพราะถึงแม้ลูกจะด่า จะตบตี จะทำร้ายท่าน ท่านก็ไม่เคยโกรธลูก แต่ในทางกลับกันท่านให้อภัยได้เสมอ...
 

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บุญแจกข้าว

                     บุญแจกข้าวถือเป็นประเพณีที่คนอีสานจะอุทิศด้วยการทำบุญเป็นหาผู้ตาย เหตุผลที่ทำเช่นนี้ด้วยมีความเชื่อที่ว่า เมื่อคนเราตายไปแล้วนั้น ในปรโลก(โลกของคนตาย) ไม่มีการทำไร่ไถนา ไม่มีการใช้เงินตราเพื่อซื้อของ ต้องอาศัยลูกหลาน ญาติผู้ที่อยู่เบื้องหลังทำบุญไปให้ อย่างไรก็ดีการทำบุญแจกข้าวที่ดีนั้น ควรที่จะมีการแจกข้าวทั้งตนที่เรายังมีชีวิตอยู่ และตอนที่ตายไปแล้วด้วย
เหตุผลที่ว่าเช่นนั้นเพราะ ตอนที่เรามีชีวิตอยู่โอกาสในการทำความดี ความชั่วมีมาก ดังนั้นควรที่จะสร้างความดีให้กับตนเองให้มาก ไม่ประพฤติผิดศีลทำนองคลองธรรม บำรุงบิดามารดา รู้จักเข้าวัดวาบ้าง อย่างน้อยก็เป็นการทำบุญ ซึ่งถือเป็นการสร้างเสบียงให้กับตนเองก่อนสิ้นใจ และเมื่อตายไปแล้วเราไม่ได้เอาอะไรไปด้วย เงินทอง พ่อแม่ ลูกหลาน ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงใช่จะตามเราไปด้วยเมื่อเวลาตาย สิ่งที่เหลือไว้ในโลกก็เพียงแค่กระดูก และความดีชั่วที่เราเคยทำไว้ บุญและบาปที่เราทำไว้เท่านั้นที่จะติดตัวเราไปด้วย  ดังนั้นหมั่นแจกข้าวให้กับตนเองตอนที่มีชีวิตอยู่ให้เยอะ ๆ เพราะเมื่อเราตายไปก็จะมีสุขตอนตายสบายด้วยบุญที่หนุนเราสู่สุคติ

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ธรรมดา

สรรพสิ่ง มวลสาร บนฐานโลก
ล้วนต้องตก ในวงจร ดังกลอนไข
มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
นอกนี้ไซร้ โปรดจำไว้ ว่าไม่มี

เพราะทุกชีวิต เกิดขึ้นมา ในเบื้องต้น
แล้วก็วน เจ็บแก่ ให้แลเห็น
ในท่ามกลาง ทุกอย่าง ต่างๆเป็น
ไม่ยกเว้น ตอนท้าย ตายเหมือนกัน..

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เครื่องลาง ของขลัง


คนเรามักแสวงหาของขลังของศักดิ์สิทธิ์ แต่หารู้ไม่ว่าเครื่องของขลังที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน ซึ่งเครื่องลางที่ว่าก็คือ กำลังใจที่ดี ของขลังที่ว่าก็คือ สติที่ระลึกชอบ

เหตุผลที่ว่า กำลังใจที่ดีคือเครื่องลางที่ศักดิ์สิทธิ์นั้น กล่าวคือ กำลังใจทำให้คนมีชีวิตที่สมบูรณ์ขึ้น กำลังใจทำให้คนได้รู้จักวิธีในการใช้ชีวิต กำลังใจทำให้คนมีสีสรรค์ จะสร้างอะไรก็มักมีแต่สิ่งที่ดี ๆ ออกมาเสมอ และกำลังใจทำให้มีชีวิตที่ยืนยาว ส่วนที่บอกว่า สติ คือของขลังที่ศักสิทธิ์นั้น ก็เพราะว่า หากเราทำอะไร คิดอะไร ด้วยความไม่ประมาท ไม่ประมาทในธรรม ในกาลเวลา ในสังขาร เราก็จะมีชีวิตอยู่ด้วยความไม่กลัวตายได้ และที่สำคัญ คือ รู้แนวทางในการดำเนินชีวิตที่ถูกที่ควรในสังคม

ดังนั้น หากเราจะหาเครื่องลางที่ศักดิ์สิทธิ์ หาของขลังขมังเวทย์ อย่าไปหาที่อื่นให้หาดูที่ตัวเรา เพราะตัวเรานั้นแหละมีเครื่องลาง และของขลังที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด