วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เทศน์งานศพ เดือนไหนจำไม่ได้

ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํติ



สรรพสิ่ง มวลสาร บนฐานโลก


ล้วนต้องตก ในวงจร ดังกลอนไข


มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป


นอกนี้ไซร้ โปรดจำไว้ ว่าไม่มี


เพราะโลกสมมุติ ย่อมแตกต่าง ทางฐานะ


แต่ทางพระ ว่าเสมอ เหมือนกันหมด


แม้ว่าใคร มีสักดิ์ใหญ่ และเรืองยศ


มัจจุบด แตกสลาย ตายเหมือนกัน


เพราะมนุษย์ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ไม่สามารถที่จะหนีจาก ความแก่ ความเจ็บและความตายได้ ทุกคนเกิดมาย่อมที่จะพบกับความพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นพระพุทธองค์ทางจึงสอนให้เรา อย่ากลัวตาย ให้พวกเราพึงระลึกเสมอว่าความตายอยู่กับเราทุกเมื่อ จะไปที่ไหนจะทำอะไร มันก็อยู่มันก็ทำกับเราด้วยเปรียบเสมือนเงา ดังคำผญาโบราณอีสานที่เขากล่าวไว้ว่า


“อันว่าความตายนี้มันแขวนคอทุกบาดย่าง มันหากแขวนอ้อนต้อน เสมอด้ามดั่งกัน เพราะว่าความตายนั้น เปรียบดั่งคือเงา เพราะว่าเงามันตาเฮาสู่วันบ่มีเว้น คันเฮาพามันเล่น พามันเต้นแล่น พามันแอ๊ะแอ่นฟ้อน เงานั้นกะแอ่นนำ” ดังนั้นความตายจึงเป็นเหมือนเงาที่ติดตามตัวเราไปตลอด บางครั้งวันนี้เราเห็นกันดี ๆ อยู่ วันพรุ่งนี้คนที่เราเห็นอาจจะสิ้นชีวิตจากเราไปก็ได้เหมือนที่ท่านกล่าวเอาไว้ว่า






เห็นกันอยู่ ตอนเช้า สายตาย


สายอยู่สุขสบาย บ่ายม้วย


บ่าย ยังเลื่อนเริงกาย เย็นดับชีพนา


เย็น เห็นหยอกลูกด้วย ค่ำม้วยอาสันต์


ดังนั้นเราในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไม่ประมาทในกาลเวลา ไม่ประมาทในสังขาร อย่าเป็นว่าวันพรุ่งยังมาไม่ถึง วัยก็ยังไม่แก่ก็ไม่เข้าวัดทำบุญหนุนกุศลให้ชีวิต


แต่อย่างไรก็ดีวันนี้ ลูกหลานถือว่าได้มาทำบุญคือหนุนกุศลให้กับผู้ตายที่เป็นพ่อซึ่งท่านได้จากพวกเราไป เพราะการจากไปของท่านในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าท่านจะจากไปเพียงสังขารร่างกาย แต่คุณงามความดีและความรักของท่านที่ได้สร้างเอาไว้ ยังติดตึงใจลูกทุกคนเสมอ


รักสิ่งใด ไหนเล่า เท่าพ่อรัก


ผูกสมัคร รักมั่น ไม่หวั่นไหว


ห่วงใดเล่า เท่าห่วง ดั่งดวงใจ


ที่พ่อให้ กับลูก อยู่ทุกครา


ยามลูกขื่น พ่อขม ตรมหลายเท่า


ยามลูกเศร้า พ่อโศก วิโยคกว่า


ยามลูกหาย พ่อห่วง คอยดวงตา


ยามลูกมา พ่อลด หมดห่วงใย






นี่ถ้าเป็นลูกชายพ่อแม่จะคอยห่วง ห่วงว่าลูกออกไปข้างนอกจะไปทำอะไรหน่อ ..................ถ้าเป็นลูกสาว................... ฉะนั้นพ่อให้เราได้ทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตของท่านเองท่านก็สามารถที่จะสละได้ เพียงเพื่อหวังอยากให้ลูกมีความสุข หวังอยากให้ลูกเป็นคนดี


ยามแก่ยามเฒ่า ก็หวังให้เฝ้ารับใช้ ยามป่วยยามไข้ก็หวังให้ช่วยรักษา ยามเมื่อสิ้นชีพวายชีวา หวังลูกยาช่วยปิดตาเมื่อสิ้นใจ นี่คือความหวังของคนเป็นพ่อ ดังนั้นเราในฐานะที่เป็นลูกหลานก็ควรที่จะตอบแทนคุณท่าน อย่าปล่อย อย่าทอดทิ้งท่าน ต้องเลี้ยงดูท่าน เหมือนกับตอนที่ท่านเลี้ยงดูเรา เลี้ยงในที่นี้ ต้องเลี้ยงทั้งกาย คือหาสิ่งไหนที่ชอบ อาหารไหนที่อร่อย เสื้อผ้าไหนที่ดี ๆ สถานที่ไหนที่ท่านไม่เคยไปเที่ยวก็พาท่านไป เลี้ยงทางใจก็คือ ตั้งใจฟังคำสั่งสอน เอื้ออาทรในกิจธุร รักษาวงตระกูล หมั่นเพิ่มพูนทรัพย์สิน คอยสดับความประสงค์ แก่เฒ่าลงก็คอยประคับประครอง รักษาความปรองดองสามัคคีในครอบครัวไม่ให้แตกแยก นี่ถือว่าเป็นการเลี้ยงใจให้กับท่านแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น